เลี้ยงลูกให้ดี.....มีวัคซีนใจ

ปัจจุบัน พ่อแม่จำนวนมากเลี้ยงลูกด้วยความรัก แต่ไม่ได้ฝึกฝนให้เด็กมีภูมิต้านทานต่อ ความทุกข์...เพราะไม่เคยเปิดโอกาสลูกเผชิญต่อปัญหาในระดับที่เหมาะสมต่อ วัยวุฒิของเขา เมื่อโตขึ้นจึงขาดทักษะในการจัดการกับปัญหาของชีวิต

“วัคซีน ใจ” 3 ประการ ที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นในการเลี้ยงดูของพ่อแม่และการศึกษาจาก ครูอาจารย์ เป็นไปเพื่อให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความพร้อมการดำเนิน ชีวิต ได้แก่

        1. วุฒิภาวะ

        2. ความนับถือตนเอง

        3. การแสวงหาความสุขในชีวิต

1. วุฒิภาวะ (Maturity) คือ ความสามารถในการยับยั้งชั่งใจหรือควบคุมอารมณ์ความต้องการของตนเอง ถ้าพูด เป็นภาษาวัยรุ่น...วุฒิภาวะ แปลว่าความสามารถที่สมองส่วนคิดทำงานมากกว่า สมองส่วนอยาก...เพราะฉะนั้นต้องฝึกตอนที่สมองส่วนอยากทำงาน

        1. เมื่อลูกอยากได้อะไร ต้องพูดคุยกันว่าจำเป็นหรือไม่...ถ้าสิ่งนั้นไม่ ใช่สิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ก็ต้องยอมรับว่าไม่ควรได้ ไม่ควรมี...เป็นการแยกแยะระหว่าง “สิ่งที่จำเป็น” (need) กับ “สิ่งที่อยากได้” (want)

        2. หากจำเป็นแต่มีข้อจำกัด ก็หาทางออก อย่างอื่นเพื่อตอบสนองเท่าที่ทำได้ ...ถ้าไม่มีเงินก็ไม่จำเป็นต้องซื้อหามาเป็นเจ้าของเสมอไป เราสามารถเช่าหรือใช้บริการจากแหล่งบริการมากมายที่มีในสาธารณะ

        3. ถ้าจำเป็นต้องมี ต้องได้ ก็อย่าเพิ่งรีบซื้อให้ทันที... ต้องฝึกให้เด็ก รู้จักการรอ (delay immediate gratification) หรือ ตั้งเงื่อนไข ให้เป็น รางวัล...ถือ เป็นการฝึกวินัยในตนเอง (self discipline)

    ถ้าหากลูกอยากได้อะไร แล้วพ่อแม่ตอบสนองหามาให้ในทันที เด็กจะไม่รู้จัก เรียนรู้ที่จะรอ เขาจะเคยชินต่อการตอบสนองความต้องการของตนเอง หากในวัยเด็ก เขาไม่ได้รับการฝึกให้ควบคุมความต้องการของตนเอง เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นเขาก็ ไม่เรียนรู้ที่จะยับยั้งชั่งใจในเรื่องทางเพศเป็นผลตามมาพ่อแม่หลายคนปรนเปรอลูกด้วยวัตถุหรือการเสพ...สาเหตุ 3 ประการที่พบบ่อย ได้แก่

        * ไม่ต้องการให้ลูกเผชิญความผิดหวัง ซึ่งเคยเกิดกับตัวพ่อแม่ในวัยเด็ก...อยากได้อะไรก็ไม่เคยได้

        * ชดเชยความรู้สึกผิดที่เรามีเวลาใกล้ชิดเขาน้อยเกินไป จึงตอบแทนเด็กด้วยของเล่นหรือเงินทอง

        * กลัวลูกโกรธหรือไม่รัก แล้วจะไม่เอาใจใส่พ่อแม่ในยามชรา

    ผู้ใหญ่จำเป็นต้องเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ไม่ถูกครอบงำ ด้วยกระแส บริโภคนิยมเสียก่อน ไม่ถูกชัก จูงง่ายจากสื่อโฆษณา...เด็กจึง จะ “เลียน และรู้” รูปแบบของการใช้ชีวิตที่ไม่เน้นการแสวงหาวัตถุเพื่อสร้าง ความสุขให้แก่จิตใจ

2. ความนับถือตนเอง (Self-esteem) คือ การตระหนักรู้ในคุณค่าที่มีในตนเอง นำไปสู่ความภาคภูมิใจ...พูดภาษาชาวบ้าน ง่าย ๆ ก็คือ “ความรักตนเอง” ...รักตัวเองให้เป็น ก็ต้องเห็นตัวเองให้ชัด วิธีการในการเลี้ยงลูกให้พัฒนาความนับถือตนเองมี 3 ขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้

        1. รู้ศักยภาพของตนเอง ว่าเรามีความสามารถอะไรเป็นพิเศษ เรียนวิชาไหนแล้ว ชอบหรือมีความสุข...ซึ่งเด็กแต่ละคนจะมีลักษณะนิสัยหรือศักยภาพไม่เหมือน กัน การเลี้ยงดูหรือการศึกษาจึงต้องพัฒนาความสามารถให้ตรงกับตัวเด็กมากที่ สุด โดยไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือหรือเลือกคณะวิชาไปตามกระแสค่านิยมของ สังคม ซึ่งอาจไม่ตรงกับใจตัวเอง

        2. กำหนดจุดมุ่งหมายของชีวิต-คุณสมบัติของจุดมุ่งหมายนั้นต้องมีคุณสมบัติ 2 อย่างคือ

            * มีความทัดเทียมกับศักยภาพของตนเอง ไม่สูงหรือต่ำเกินไป...ถ้าสูงเกินไปก็ เป็นฝันกลางวัน ถ้าต่ำเกินไปก็เป็นการดูถูกตัวเอง

            * ต้องสามารถกำหนดเป็นมโนภาพ (visualization) ในใจว่าในอนาคตโตขึ้นเราอยากเป็นอะไร...บังเกิดเป็นแรงดลบันดาลใจ มีพลัง

        3. ขยัน มุมานะพากเพียรพยายาม (effort) เพื่อเป็นพลังหรือแรงขับดันให้ ชีวิตมุ่งมั่นสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้...ตรงข้ามกับความขี้เกียจหรือรัก สนุก-ชอบสบาย (comfort)

    การพัฒนาทั้งสามขั้นตอน จะนำไปสู่ความสำเร็จ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงความ ภูมิใจในตนเอง นำไปสู่สภาวะจิตที่สูงส่ง และไม่ดึงชีวิตตัวเองไปสู่ความ เสื่อม เช่น เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน ติดยาเสพติด มีเพศสัมพันธ์ในวัย เรียน ฯลฯ

    อุปสรรคอย่างหนึ่งของการพัฒนาความนับถือตนเอง คือระบบการศึกษาที่เน้นคน เรียนเก่ง เช่น สอบได้ที่ 1 ถึงที่ 3 หรืออย่างน้อยก็ต้องได้เลขตัว เดียว จึงจะเป็นที่ชื่นชมของพ่อแม่และครูอาจารย์ ในขณะที่นักเรียน อีก 30-40 คนที่เหลือในห้องก็ไม่สามารถเกิดความปีติสุขจากการเรียนรู้...ผล ที่สุดคือการรวมกลุ่มของเด็กที่ไม่ประสบความสำเร็จในการศึกษา จึงไปแสวงหา ความสุขจากทางอื่น เช่น ขับรถซิ่งแข่งกัน มีเซ็กซ์เก็บแต้ม คุยโม้โอ้อวด เรื่องการใช้สินค้าแบรนด์ เนม หาแฟนรวย...ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความรู้สึก ว่าตนยังมีคุณค่าอยู่ อย่างน้อยก็ได้รับการยกย่องจากสมาชิกใน “สังคม เล็ก ๆ” ของตนเอง

    เพราะฉะนั้น ถ้าลูกเรียนหนังสือไม่เก่ง แทนที่จะถูกซ้ำเติมจากพ่อแม่ด้วยคำ พูดในทางลบ ผู้ปกครองควรให้กำลังใจและความคิดในทางบวกต่อตนเอง เช่น “ถึงแม้ ว่าลูกจะสอบได้คะแนนน้อย แต่ลูกยังมีความสามารถอีกหลายอย่างที่การสอบไม่ได้ วัดผล” ...ความสามารถอีกหลายอย่างนั้น ถ้าเขายังไม่เห็น พ่อแม่ต้องเห็นได้ จากการสังเกต และเราจะสังเกตรู้ได้ว่าลูกมีศักยภาพอะไร ก็ต่อเมื่อเราได้มี เวลาใกล้ชิดและรับฟังสิ่งที่เขาเปิดเผย...แทนที่จะคิดว่าลูกจะต้องรับฟังและ เชื่อฟังเราฝ่ายเดียว

3. การแสวงหาความสุขในชีวิต...ความสุขมีรูปแบบที่หลากหลาย แบ่งเป็น 4 ระดับ เรียกว่า “4 ระดับของความสุข จากสนุกสู่สงบ”

        1. มีกิจกรรมสนุกสนานจากกิจกรรมบันเทิง ได้รับความเอร็ดอร่อยจากการเสพทาง ตา หู จมูก ลิ้นและผิวหนัง...มักจำเป็นต้องซื้อหาด้วยเงิน หากไม่รู้จักควบ คุมการเสพ ก็นำไปสู่ความทุกข์ร้อนเรื่องหนี้สิน

        2. การเสพสุนทรียภาพของงานศิลปะ... โดยไม่จำเป็นต้องซื้อหามาเป็นเจ้า ของ แต่ชื่นชมจน นำไปสู่ความปีติ อิ่มเอิบ เบิกบาน และเกิดแรงดลบันดาลใจใน ชีวิต

        3. ความสงบสบายจากการใกล้ชิดธรรม ชาติ...ท่ามกลางธรรมชาติ ย่อมโน้มนำใจให้ ผ่อนคลาย สดชื่นและเย็นใจ…พร้อมความรู้สึกสำนึกในบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของ ธรรมชาติ…จนมิอาจคิดถึงเรื่องการทำลายหรือความโลภ

        4. การดำเนินชีวิตอย่างพิจารณา...มีสติในกิจวัตรประจำวันและการทำงาน ในที่ สุดเราจะบังเกิดความเข้าใจในสัจธรรมของชีวิต จนในที่สุด

จิตของเราที่พัฒนาจนผ่อนคลายจากการยึดติดในสิ่งต่าง ๆ นำไปสู่การดำเนินชีวิตไม่เป็นทุกข์

      

ข้อมูลจาก นายแพทย์สุกมล วิภาวีพลกุล

จาก  women.sanook.com/mom-baby/knowledge/tips_52600.php

ไม่มีความคิดเห็น: