เลี้ยงลูกให้ดี.....มีวัคซีนใจ

ปัจจุบัน พ่อแม่จำนวนมากเลี้ยงลูกด้วยความรัก แต่ไม่ได้ฝึกฝนให้เด็กมีภูมิต้านทานต่อ ความทุกข์...เพราะไม่เคยเปิดโอกาสลูกเผชิญต่อปัญหาในระดับที่เหมาะสมต่อ วัยวุฒิของเขา เมื่อโตขึ้นจึงขาดทักษะในการจัดการกับปัญหาของชีวิต

“วัคซีน ใจ” 3 ประการ ที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นในการเลี้ยงดูของพ่อแม่และการศึกษาจาก ครูอาจารย์ เป็นไปเพื่อให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความพร้อมการดำเนิน ชีวิต ได้แก่

        1. วุฒิภาวะ

        2. ความนับถือตนเอง

        3. การแสวงหาความสุขในชีวิต

1. วุฒิภาวะ (Maturity) คือ ความสามารถในการยับยั้งชั่งใจหรือควบคุมอารมณ์ความต้องการของตนเอง ถ้าพูด เป็นภาษาวัยรุ่น...วุฒิภาวะ แปลว่าความสามารถที่สมองส่วนคิดทำงานมากกว่า สมองส่วนอยาก...เพราะฉะนั้นต้องฝึกตอนที่สมองส่วนอยากทำงาน

        1. เมื่อลูกอยากได้อะไร ต้องพูดคุยกันว่าจำเป็นหรือไม่...ถ้าสิ่งนั้นไม่ ใช่สิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ก็ต้องยอมรับว่าไม่ควรได้ ไม่ควรมี...เป็นการแยกแยะระหว่าง “สิ่งที่จำเป็น” (need) กับ “สิ่งที่อยากได้” (want)

        2. หากจำเป็นแต่มีข้อจำกัด ก็หาทางออก อย่างอื่นเพื่อตอบสนองเท่าที่ทำได้ ...ถ้าไม่มีเงินก็ไม่จำเป็นต้องซื้อหามาเป็นเจ้าของเสมอไป เราสามารถเช่าหรือใช้บริการจากแหล่งบริการมากมายที่มีในสาธารณะ

        3. ถ้าจำเป็นต้องมี ต้องได้ ก็อย่าเพิ่งรีบซื้อให้ทันที... ต้องฝึกให้เด็ก รู้จักการรอ (delay immediate gratification) หรือ ตั้งเงื่อนไข ให้เป็น รางวัล...ถือ เป็นการฝึกวินัยในตนเอง (self discipline)

    ถ้าหากลูกอยากได้อะไร แล้วพ่อแม่ตอบสนองหามาให้ในทันที เด็กจะไม่รู้จัก เรียนรู้ที่จะรอ เขาจะเคยชินต่อการตอบสนองความต้องการของตนเอง หากในวัยเด็ก เขาไม่ได้รับการฝึกให้ควบคุมความต้องการของตนเอง เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นเขาก็ ไม่เรียนรู้ที่จะยับยั้งชั่งใจในเรื่องทางเพศเป็นผลตามมาพ่อแม่หลายคนปรนเปรอลูกด้วยวัตถุหรือการเสพ...สาเหตุ 3 ประการที่พบบ่อย ได้แก่

        * ไม่ต้องการให้ลูกเผชิญความผิดหวัง ซึ่งเคยเกิดกับตัวพ่อแม่ในวัยเด็ก...อยากได้อะไรก็ไม่เคยได้

        * ชดเชยความรู้สึกผิดที่เรามีเวลาใกล้ชิดเขาน้อยเกินไป จึงตอบแทนเด็กด้วยของเล่นหรือเงินทอง

        * กลัวลูกโกรธหรือไม่รัก แล้วจะไม่เอาใจใส่พ่อแม่ในยามชรา

    ผู้ใหญ่จำเป็นต้องเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ไม่ถูกครอบงำ ด้วยกระแส บริโภคนิยมเสียก่อน ไม่ถูกชัก จูงง่ายจากสื่อโฆษณา...เด็กจึง จะ “เลียน และรู้” รูปแบบของการใช้ชีวิตที่ไม่เน้นการแสวงหาวัตถุเพื่อสร้าง ความสุขให้แก่จิตใจ

2. ความนับถือตนเอง (Self-esteem) คือ การตระหนักรู้ในคุณค่าที่มีในตนเอง นำไปสู่ความภาคภูมิใจ...พูดภาษาชาวบ้าน ง่าย ๆ ก็คือ “ความรักตนเอง” ...รักตัวเองให้เป็น ก็ต้องเห็นตัวเองให้ชัด วิธีการในการเลี้ยงลูกให้พัฒนาความนับถือตนเองมี 3 ขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้

        1. รู้ศักยภาพของตนเอง ว่าเรามีความสามารถอะไรเป็นพิเศษ เรียนวิชาไหนแล้ว ชอบหรือมีความสุข...ซึ่งเด็กแต่ละคนจะมีลักษณะนิสัยหรือศักยภาพไม่เหมือน กัน การเลี้ยงดูหรือการศึกษาจึงต้องพัฒนาความสามารถให้ตรงกับตัวเด็กมากที่ สุด โดยไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือหรือเลือกคณะวิชาไปตามกระแสค่านิยมของ สังคม ซึ่งอาจไม่ตรงกับใจตัวเอง

        2. กำหนดจุดมุ่งหมายของชีวิต-คุณสมบัติของจุดมุ่งหมายนั้นต้องมีคุณสมบัติ 2 อย่างคือ

            * มีความทัดเทียมกับศักยภาพของตนเอง ไม่สูงหรือต่ำเกินไป...ถ้าสูงเกินไปก็ เป็นฝันกลางวัน ถ้าต่ำเกินไปก็เป็นการดูถูกตัวเอง

            * ต้องสามารถกำหนดเป็นมโนภาพ (visualization) ในใจว่าในอนาคตโตขึ้นเราอยากเป็นอะไร...บังเกิดเป็นแรงดลบันดาลใจ มีพลัง

        3. ขยัน มุมานะพากเพียรพยายาม (effort) เพื่อเป็นพลังหรือแรงขับดันให้ ชีวิตมุ่งมั่นสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้...ตรงข้ามกับความขี้เกียจหรือรัก สนุก-ชอบสบาย (comfort)

    การพัฒนาทั้งสามขั้นตอน จะนำไปสู่ความสำเร็จ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงความ ภูมิใจในตนเอง นำไปสู่สภาวะจิตที่สูงส่ง และไม่ดึงชีวิตตัวเองไปสู่ความ เสื่อม เช่น เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน ติดยาเสพติด มีเพศสัมพันธ์ในวัย เรียน ฯลฯ

    อุปสรรคอย่างหนึ่งของการพัฒนาความนับถือตนเอง คือระบบการศึกษาที่เน้นคน เรียนเก่ง เช่น สอบได้ที่ 1 ถึงที่ 3 หรืออย่างน้อยก็ต้องได้เลขตัว เดียว จึงจะเป็นที่ชื่นชมของพ่อแม่และครูอาจารย์ ในขณะที่นักเรียน อีก 30-40 คนที่เหลือในห้องก็ไม่สามารถเกิดความปีติสุขจากการเรียนรู้...ผล ที่สุดคือการรวมกลุ่มของเด็กที่ไม่ประสบความสำเร็จในการศึกษา จึงไปแสวงหา ความสุขจากทางอื่น เช่น ขับรถซิ่งแข่งกัน มีเซ็กซ์เก็บแต้ม คุยโม้โอ้อวด เรื่องการใช้สินค้าแบรนด์ เนม หาแฟนรวย...ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความรู้สึก ว่าตนยังมีคุณค่าอยู่ อย่างน้อยก็ได้รับการยกย่องจากสมาชิกใน “สังคม เล็ก ๆ” ของตนเอง

    เพราะฉะนั้น ถ้าลูกเรียนหนังสือไม่เก่ง แทนที่จะถูกซ้ำเติมจากพ่อแม่ด้วยคำ พูดในทางลบ ผู้ปกครองควรให้กำลังใจและความคิดในทางบวกต่อตนเอง เช่น “ถึงแม้ ว่าลูกจะสอบได้คะแนนน้อย แต่ลูกยังมีความสามารถอีกหลายอย่างที่การสอบไม่ได้ วัดผล” ...ความสามารถอีกหลายอย่างนั้น ถ้าเขายังไม่เห็น พ่อแม่ต้องเห็นได้ จากการสังเกต และเราจะสังเกตรู้ได้ว่าลูกมีศักยภาพอะไร ก็ต่อเมื่อเราได้มี เวลาใกล้ชิดและรับฟังสิ่งที่เขาเปิดเผย...แทนที่จะคิดว่าลูกจะต้องรับฟังและ เชื่อฟังเราฝ่ายเดียว

3. การแสวงหาความสุขในชีวิต...ความสุขมีรูปแบบที่หลากหลาย แบ่งเป็น 4 ระดับ เรียกว่า “4 ระดับของความสุข จากสนุกสู่สงบ”

        1. มีกิจกรรมสนุกสนานจากกิจกรรมบันเทิง ได้รับความเอร็ดอร่อยจากการเสพทาง ตา หู จมูก ลิ้นและผิวหนัง...มักจำเป็นต้องซื้อหาด้วยเงิน หากไม่รู้จักควบ คุมการเสพ ก็นำไปสู่ความทุกข์ร้อนเรื่องหนี้สิน

        2. การเสพสุนทรียภาพของงานศิลปะ... โดยไม่จำเป็นต้องซื้อหามาเป็นเจ้า ของ แต่ชื่นชมจน นำไปสู่ความปีติ อิ่มเอิบ เบิกบาน และเกิดแรงดลบันดาลใจใน ชีวิต

        3. ความสงบสบายจากการใกล้ชิดธรรม ชาติ...ท่ามกลางธรรมชาติ ย่อมโน้มนำใจให้ ผ่อนคลาย สดชื่นและเย็นใจ…พร้อมความรู้สึกสำนึกในบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของ ธรรมชาติ…จนมิอาจคิดถึงเรื่องการทำลายหรือความโลภ

        4. การดำเนินชีวิตอย่างพิจารณา...มีสติในกิจวัตรประจำวันและการทำงาน ในที่ สุดเราจะบังเกิดความเข้าใจในสัจธรรมของชีวิต จนในที่สุด

จิตของเราที่พัฒนาจนผ่อนคลายจากการยึดติดในสิ่งต่าง ๆ นำไปสู่การดำเนินชีวิตไม่เป็นทุกข์

      

ข้อมูลจาก นายแพทย์สุกมล วิภาวีพลกุล

จาก  women.sanook.com/mom-baby/knowledge/tips_52600.php

ปรับชีวิตให้สมดุลทุก 10 ปี - MSN ไลฟ์สไตล์

        แม้ว่าชีวิตมนุษย์จะหลีกเลี่ยงโรคภัยไข้เจ็บหรือความเสื่อมของร่างกายไม่ได้ แต่สามารถปรับปรุงชีวิตให้อยู่อย่างมีความสุขได้

        แม้ว่าชีวิตมนุษย์จะหลีกเลี่ยงโรคภัยไข้เจ็บหรือความเสื่อมของร่างกายไม่ได้ แต่สามารถปรับปรุงชีวิตให้อยู่อย่างมีความสุข โดยการหาวิธีรับมือกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องดูแลภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูดีพร้อมๆ กับการฟิตร่างกายให้พร้อมสำหรับสุขภาพในอนาคต

20-29 วัยแห่งการบั่นทอนสุขภาพ

        เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างชีวิตวัยเรียนและชีวิตการทำงาน สาวๆ วัยนี้จึงเต็มไปด้วยพลังงานและความกระตือรือร้นต่อสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ รอบตัว จึงไม่น่าแปลกที่การดำเนินชีวิตจะค่อนข้างสมบุกสมบัน เช่น การอ่านหนังสือเรียนจนดึกดื่น การทำงานอย่างเคร่งเครียดไม่มีเวลาพักผ่อน หรือแม้กระทั่งร่วมฉลองทุกสุดสัปดาห์กับเพื่อนๆ ด้วยการดื่มและท่องราตรี แม้จะได้เปรียบเรื่องอายุ ร่างกายฟื้นตัวเร็ว แต่หากยังคงใช้ชีวิตแบบสุดขั้วเป็นประจำ ก็อาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว ยกตัวอย่างเช่น

  • โรคอ้วน มี สาเหตุมาจากการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีไขมันสูง เนื่องจากหาซื้อง่ายและสะดวกรวดเร็ว หรือการดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลมาก เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน โดยเฉพาะชาหรือกาแฟร้อน-เย็น ที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและคาเฟอีน ซึ่งหากรับประทานมากกว่า 3 แก้วต่อวันมีผลต่อการดูดซึมของวิตามินและเกลือแร่
  • การปวดประจำเดือน มัก เป็นอาการยอดนิยมของผู้หญิงวัยทำงาน การปวดประจำเดือนเกิดจากหลายสาเหตุตั้งแต่พันธุกรรม วิถีการดำเนินชีวิต ภาวะความเครียดและอาหาร แต่เราสามารถบรรเทาอาการปวดได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเบื้องต้น เช่น การงดดื่มชาและกาแฟ การออกกำลังกายเป็นประจำวันละ 30 นาทีประมาณ 5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี6 หรือน้ำมันอีฟนิ่งพรีมโรสก่อนเวลามีประจำเดือน เพื่อบรรเทาอาการปวด
  • รู้จักดูแลถนอมตับที่อาจทำงานหนักเกินไป โดย เฉพาะคนรับประทานอาหารที่มีรสเค็มและมีปริมาณไขมันสูง หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้และหันไปรับประทานผักผลไม้มากๆ แทน เพื่อเร่งการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย จากการวิจัยพบว่าการดื่มน้ำบีทรูทคั้นสดๆ จะทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้น เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยล้างพิษในร่างกายได้ดี

30-39 วัยแห่งการเตรียมพร้อมรับมือจากความเสื่อมต่างๆ

        หากพูดถึงอายุเมื่อขึ้นเลข 3 หลายคนรู้สึกเขินหรือบ่ายเบี่ยงที่จะตอบทุกครั้งที่มีคนถาม อย่างไรก็ตามลักษณะภายนอกที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาถือเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ถือว่าเป็นปัญหาสำคัญต่อสุขภาพหรือการดำเนินชีวิตเท่าไรนักหากเปรียบกับ ความแข็งแรงของร่างกาย ช่วงอายุนี้จึงควรเน้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้นและ ออกกำลังกาย เพื่อฟื้นฟูอวัยวะ ต้านความเสื่อมจากภายในสู่ภายนอก

  • ป้องกันโรคกระดูกพรุนก่อนวัย ภาวะ มวลกระดูกสูงสุด (peakbone mass) จะหยุดอยู่ช่วงอายุ 30-35 ปี หลังจากนั้นร่างกายจะรักษาระดับมวลกระดูกไว้คงที่ จนกระทั่งอายุมากขึ้น ร่างกายจะดึงเอาแคลเซียมจากกระดูกไปใช้ ทำให้กระดูกบางและแตกง่าย เป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนในอนาคต ดังนั้นช่วงอายุดังกล่าวจึงไม่ยังไม่สายเกินไปที่จะสะสมแคลเซียมให้กระดูก โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดู เช่น เต้าหู้ นม โยเกิร์ต ผักใบเขียว ปลากระป๋องหรือปลาซาร์ดีนที่รับประทานได้ทั้งกระดูกและผลไม้ต่างๆ
  • เพิ่มพลังเมตาโบลิซึม เคย มีรายงานกล่าวว่าทุก 10 ปีที่อายุมากขึ้นน้ำหนักจะเพิ่มประมาณ 5 กิโลกรัม ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกายลดประสิทธิภาพการ ทำงานลง ประกอบกับตนเองยังรับประทานอาหารปริมาณเท่าเดิมและมีวิถีชีวิตเหมือนเดิม ซึ่งหากยังไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตก็อาจเป็นสาเหตุของโรค อ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ฯลฯ ดังนั้นวิธีพื้นฐานในการเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงานคือ รับประทานคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนอย่างพอเหมาะ ลดปริมาณไขมันลง เพิ่มผักหรือผลไม้ในแต่ละมื้อให้มากขึ้น บางคนอาจลองรับประทานอาหารปริมาณครั้งละน้อยๆ แต่รับประทานวันละหลายๆ มื้อ เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร และป้องกันไม่ให้รับประทานอาหารจุบจิบระหว่างมื้อใหญ่ๆ
  • เพิ่มพลังให้ผิวสวย ไร้ริ้วรอย ผู้หญิง วัยนี้สามารถฟื้นฟูผิวให้ดูสดใส ไร้ริ้วรอยก่อนวัยด้วยการนอนหลับให้ได้วันละ 7-8 ชั่วโมง ประกอบกับรับประทานผลไม้และผักมากๆ โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินอีมาก เช่น นม ไข่ ถั่ว ผักโขม มะเขือเทศ เป็นต้น รวมถึงการรับประทานน้ำให้ได้วันละ 7-8 แก้ว เพื่อเร่งกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ผลัดเซลล์เก่าภายในร่างกายได้อย่างมี ประสิทธิภาพ รวมถึงการทาครีมบำรุงและครีมกันแดด ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดจ้า เพราะจะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื่น แห้งกร้าน เป็นสาเหตุทำให้มีริ้วรอยก่อนวัย

  40-49 วัยแห่งการปรับตัวเท่าทันโรค

        ช่วงนี้ถือวัยที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการทำงานภายในร่าง กาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะหมดประจำเดือน (menopause) ซึ่งไม่ได้เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเท่านั้นแต่ยังมีผลกระทบ ต่ออารมณ์และจิตใจอีกด้วย

  • การรับมือจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เนื่อง จากเมื่อเข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะหยุดการทำงาน ทำให้มีผลต่อการทำงานของอวัยวะภายในต่างๆ เช่น ผิวแห้งและแพ้ง่าย เกิดอาการร้อนวูบวาบ ความดันโลหิตสูง ปวดหัวไมเกรนบ่อยๆ ช่องคลอดแห้งมีอาการคันและแสบ ภาวะนอนไม่หลับและโรคกระดูกพรุน ทั้งนี้เราสามารถรับมือกับโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยการปรึกษาแพทย์ ขอคำแนะนำในการรับประทานฮอร์โมนทดแทนเพื่อบรรเทาอาการข้างต้น นอกจากนี้ยังต้องหมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ แต่ต้องมีใยอาหาร แคลเซียมมากๆ เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้กระดูกเสื่อมมากยิ่งขึ้น โดยการรับประทานอาหารที่มีไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งประกอบด้วยเอสโตรเจนจากธรรมชาติ เช่น ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ธัญพืชและผักผลไม้ต่างๆ เป็นต้น
  • รับมือกับภาวะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลง เชื่อ ว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำตำหนิเมื่อเจอผู้หญิงสูงวัยที่หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวนว่า อยู่ในภาวะหมดประจำเดือน ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ถูกต้อง (ไม่นับนิสัยส่วนตัว) ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนต้องเผชิญเมื่อถึงวัย แต่เราสามารถควบคุมและจัดการกับอารมณ์แปรปรวนหรือความเครียดนี้ได้ โดยการหากิจกรรมที่ผ่อนคลายจิตใจ เช่น ฟังเพลงเบาๆ ท่องเที่ยวกับครอบครัว พูดคุยปรึกษากับเพื่อน เป็นต้น และที่สำคัญควรงดสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียมากขึ้น
    นอกจากนี้ยังต้องระวังโรคร้ายอื่นๆ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยการตรวจเช็คสุขภาพเป็นประจำทุกปี

  50-59 วัยแห่งการปรับสมดุลชีวิตสู้โรคภัย

        หลายคนในช่วงวัยนี้ประสบภาวะโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ฯลฯ ทั้งนี้แม้ว่าจะรู้อาการของโรคและวิธีการรักษา แต่ก็ยังต้องการความดูแลเอาใจใส่ต่อสุขภาพและการควบคุมไม่ให้โรคร้ายแรงขึ้น โดยไม่ประมาท พื้นฐานของการดูแลรักษาไม่ให้โรคกำเริบหรือเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ คือ การทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด การรับประทานอาหารและการออกกำลังกายที่เหมาะต่อโรคนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น

  • โรคเบาหวาน หลีก เลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตและไขมันสูง ควรเน้นผักและผลไม้ที่ไม่มีน้ำตาลมากและให้ใยอาหารสูง ไม่สวมเสื้อผ้าหรือใส่รองเท้าบีบรัดมากเกินไปและดูแลร่างกายไม่ให้เกิดบาด แผล โดยเฉพาะบริเวณเท้า หลังอาบน้ำตอนเย็นทุกวันให้ใช้กระจกส่องฝ่าเท้าเพื่อเช็คว่ามีแผลหรือไม่ หากตรวจพบว่ามีแผลให้รีบทำความสะอาดและเฝ้าระวังไม่ให้แผลรุกราม หรือให้รีบไปพบแพทย์ทันที
  • คอเลสตอรอลสูง หลีก เลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เครื่องในสัตว์ ส่วนหนังและไขมันสัตว์ รวมถึงอาหารทะเลต่างๆ ทั้งนี้สำหรับบางคนที่ต้องรับประทานยาที่แพทย์แนะนำก็ต้องหลีกเลี่ยงอาหาร เหล่านี้ และหมั่นออกกำลังกายเพื่อช่วยการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดให้ดียิ่งขึ้น
  • โรคไขข้อ พยายาม ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินมาตรฐาน เพราะจะทำให้กระดูกและข้อแบกรับน้ำหนักมาก ทำให้อาการปวดยิ่งรุนแรงมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การเดิน การลุกนั่ง นอกจากนี้ควรออกกำลังกายเป็นประจำ เน้นประเภทที่ไม่กระเทือนข้อเข่า เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ รำไทเก็ก ชิกง ฯลฯ

        ดังนั้นผู้หญิงควรเอาใจใส่ดูแลความสวยงามและสุขภาพร่างกายไปพร้อมๆ กัน โดยเริ่มตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ ทั้งนี้หากอายุมากคิดจะกลับไปสุขภาพดีเหมือนเดิมย่อมเป็นไปไม่ได้ เป็นสัจธรรมของธรรมชาติ อย่างไรก็ตามการดูแลตามสภาพของวัยอย่างเหมาะสมสามารถช่วยให้การดำเนินชีวิต เป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้นและมีความสุข

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ที่มา   festyle.th.msn.com/health/wellbeing/article.a...

7 พืชผักที่ดีต่อสุภาพสตรี โดยตรง

          ผู้คนส่วนใหญ่ต่างรู้ประโยชน์ของผลไม้หรือผักว่ามีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย แต่เชื่อไหมว่า ผลไม้บางชนิด มีแร่วิตามินและแร่ธาตุที่พิเศษแตกต่างกันออกไป

                                 fruit 

             มีพืชผักผลไม้อยู่ 7 ชนิด ที่มีผล "โดยตรง" กับสุขภาพของ "ผู้หญิง"

             star ลูกพรุน : เป็น แหล่งโปแตสเซียม เหล็ก และไฟเบอร์ ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด  คงความเป็นหนุ่มเป็นสาว  คนเรานั้นเมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิตคือวัย 25 ปี ร่างกายจะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆ ใบหน้าที่เคยเอิบอิ่มด้วยเลือดฝาดก็เริ่มหมองคล้ำ ผิวพรรณจากสีชมพูระเรื่อก็เริ่มซีดโทรม ธาตุเหล็กที่มีมากในลูกพรุน จะช่วยดูแลเรื่องนี้ ควบคู่กับภาวะที่สตรีต้องสูญเสียเลือดและธาตุเหล็กไปกับประจำเดือนอีกด้วย

             star ถั่ว : อุดม ไปด้วยโปรตีน เหล็ก และวิตามินบี นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า เมื่อรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งมีในถั่วมาก) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว อิ่มนาน ความอยากอาหารจะลดลง แต่ยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยุ่มากด้วยจึงไม่เหมือนไฟเบอร์อื่นๆ ที่ไม่ให้สารอาหารที่มีคุณค่ากับร่างกาย  นั่นทำให้ผู้หญิงรุปร่างดีโดยที่ไม่ขาดสารอาหารด้วย     

             star บรอคโคลี : เป็น แหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณ และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวดูอ่อนนุ่มมีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว แถมยังช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้  

             star กล้วย : ใน กล้วยไข่มีสารเบต้าแคโรทีน ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อเราอายุเลย 22 ปีไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมของร่างกายเริ่มมาเยือนช้าๆ ทำให้เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์ผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น นอกจากนั้นเมื่อร่างกายเสื่อมสภาพ ความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก็จะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระก็ลดลงอย่างตกใจ ดังนั้นสาวๆ ควรสนใจรับประทานกล้วย โดยเฉพาะกล้วยไข่ให้มากขึ้นก็จะยอดมาก!    

             star ฝรั่ง : เชื่อหรือไม่ว่าฝรั่ง 1 ขีด มีวิตามินซีสูงถึง 180 มิลลิกรัม ซึ่งวิตามินซีนี้มีบทบาทในการสร้าง ‘คอลลาเจน’ ที่ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ยืดหยุ่น ไม่หย่อนยานก่อนวัย    

             star แอปเปิ้ล : มี สารอาหารที่สำคัญคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ ‘เพคติน’ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดคอเลสเตอรอล ยามใดก็ตามที่หินจนกินช้างหมดตัวได้ กินแอปเปิ้ลสักลูกจะดีกว่ามากๆ เลย (จริงๆ นะ)     

             star ส้ม : แหล่ง วิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติอันอุดม  รู้ไหมว่า การรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกทางหนึ่ง เพราะจะทำให้อิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก    

star  http://hilight.kapook.com star